วันพฤหัสบดีที่ 16 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

บทที่ 8 การใช้สารสนเทศตามกฎหมายและจริยธรรม


บทที่ 8 การใช้สารสนเทศตามกฎหมายและจริยธรรม


บทที่ 8 การใช้สารสนเทศตามกฎหมายและจริยธรรม





https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhMYvVxGHx9MdVXKawW7oVomZ30nbMJs4m7E-tyTF49pZnKzlQEa3NZttlsfJAA74WqiZNjOMWbIJuAdYXe-2VD5hnLjmQICUzlKGY4Ek1IB415Rj2bnPKfu2ifb9HNuDq9GNB7k2iW1Sk/s1600/judge_jody_watching_a_a_ha.gif

1. บทนำ
     การใช้เทคโนโลยีสารสนเทศมีอิทธิพลต่อการดำเนินชีวิตของมนุษย์ การรับวัฒนธรรมที่แฝงเข้ามา
กับแหล่งข่าวสารข้อมูลในรูปแบบต่างๆ ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในพฤติกรมของมนุษย์ โดยเฉพาะบนเครือข่ายสารสนเทศซึ่งเป็นเครือข่ายที่เชื่อมโยงกันทุกมุมโลก การเปิดรับข่าวสารที่มาจากแหล่งข้อมูลดังกล่าวจึงขึ้นอยู่กับการตัดสินใจ และทัศนคติส่วนบุคคล การรับข้อมูลข่าว สารที่ไม่เหมาะสมส่งผลกระทบต่อการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมโดยเฉพาะ พฤติกรรมไม่พึงประสงค์ และมีแนวโน้มทำให้เกิดอาชญากรรม ปัญหาทางศีลธรรมและจริยธรรม เช่น อาชญากรรมบนเครือข่าย หรือ การกระทำผิดกฎหมายโดยใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ อาชญากรรม 6 ประเภท ได้แก่ จารกรรมข้อมูลทางราชการทหารและข้อมูลทางราชการลับ จากกรรมทรัพย์สินทางปัญญาและข้อมูลด้านธุรกรรม จารกรรมเงิน และทำให้เกิดการติดขัดทางด้านพาณิชย์ การโต้ตอบเพื่อการ ล้างแค้น การก่อการร้าย เช่น ทำลายข้อมูล ก่อกวนการทำงานของ ระบบ และเสนอข้อมูลที่ผิดและการเข้าสู่ระบบเพียงเพื่อแสดงให้เห็นว่ามีความสามารถทำได้



2. ผลกระทบองเทคโนโลยีสารสนเทศ
     การพัฒนาเทคโนโลยีสารสนเทศจนสามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้อย่างกว่างขวางกลายเป็นยุคแห่ง
เทคโนโลยีสารสนเทศ หรือยุคข้อมูลข่าวสาร ก่อให้เกิดประโยชน์ต่อมนุษย์ชาติอย่าง มหาศาลนั้นหมายถึงก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลง การเปลี่ยนแปลงอะไรก็ตามย่อมมีผลกระทบต่อบุคคล องค์กร หรือสังคม ทั้งนี้สามารถจำแนกผลกระทบทั้งทางบวกและผลกระทบทางลบของการ



3. ปัญหาสังคมที่เกิดจากเทคโนโลยีสารสนเทศ
     เราสามารถพิจารณาปัญหาสังคมที่เกิดจากเทคโนโลยีสารสนเทศ ได้จากการวิเคราะห์ทัศนคติต่อ
เทคโนโลยีสารสนเทศ ในมุมมองที่แตกต่างกัน ได้ดังนี้
3.1 มุมมองว่าเทคโนโลยีสารสนเทศเป็นเครื่องมือที่มีไว้เพื่อให้มนุษย์บรรลุวัตถุประสงค์
     เมื่อมองว่าเทคโนโลยีสารสนเทศเป็นเครื่องมือ เครื่องมือบางอย่างก็มีประโยชน์มาก บางอย่างก็
มีประโยชน์น้อย และบางอย่างก็ไม่มีประโยชน์ การเลือกใช้เครื่องมือจะส่งผลต่อวิธีการทำงานของมนุษย์ เช่น พฤติกรรมในการเขียนของผู้ใช้โปรแกรมประมวลผลคำจะแตกต่างไปจากผู้ใช้กระดาษ และปากกา เป็นต้น
     ภายใต้มุมมองในลักษณะนี้ เราจะต้องวิเคราะห์และทำความเข้าใจถึงผลกระทบทางสังคมที่
จะเกิดขึ้น จากการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศเป็นเครื่องมือในชีวิตประจำวัน ยกตัวอย่างเช่นเราอาจต้องการหาคำตอบว่า การที่มนุษย์ใช้โทรศัพท์มือถือ ได้ทำ ให้ความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร ผู้ใช้โทรศัพท์มือถือไม่มีความจำเป็นต้องจดจำหมายเลขโทรศัพท์ของผู้ที่ต้องการติดต่อด้วยอีกต่อไป หรือเราอาจต้องการหาคำตอบว่า อินเตอร์เน็ตมีผลอย่าไรต่อการศึกษา หรือคำตอบจากคำถามที่ว่า โทรทัศน์วงจรปิดกระทบกับสิทธิส่วนบุคคลหรือไม่
3.2 มุมมองว่าเทคโนโลยีสารสนเทศและสังคมต่างก็มีกระทบซึ่งกันและกัน
     ภายใต้มุมมองแบบนี้ มีความเห็นว่าสังคมส่งผลกระทบต่อเทคโนโลยี ทั้งนี้โดยอาศัยแรงขับเคลื่อนทางวัฒนธรรม การเมือง และเศรษฐกิจ เป็นเหตุปัจจัยในการออกแบบเทคโนโลยียกตัวอย่างเช่น การออกแบบให้คอมพิวเตอร์สามารถทำงานหลายๆ งานได้ในขณะเดียวกัน มีผลมาจากประเด็นทางเศรษฐกิจ เพื่อให้ประหยัดทรัพยากรของหน่วยประมวลผลกลาง หรืออีกตัวอย่างหนึ่งได้แก่ กระแสความต้องการการสื่อสารที่รวดเร็วได้ผลักดันให้เกิดอินเตอร์เน็ตขึ้น
3.3 มุมมองว่าเทคโนโลยีเป็นกลไกในการดำรงชีวิตของมนุษย์
     ภายใต้มุมมองในลักษณะนี้จะมองว่าเทคโนโลยีสานสนเทศจะเป็นกลไกสำคัญในการกำหนดชีวิตความเป็นอยู่ของมนุษย์ ยกตัวอย่างเช่น การติดต่อสื่อสารของมนุษย์ จะถูกกำหนดว่าเป็นสิ่งที่ต้องพึ่งพาเทคโนโลยีซึ่งในโลกนี้ก็มีเทคโนโลยีการสื่อสารอย่าหลายรูปแบบแต่เทคโนโลยีที่มีความเสถียร จะเป็นทางเลือกและมนุษย์จะใช้เป็นกลไกในการดำรงชีวิต ดังเช่น คนที่มีและคนที่ใช้โทรศัพท์มือถือ จะแตกต่างจากคนที่ไม่มีโทรศัพท์มือถือติดตัว การที่มีโทรศัพท์มือถือแสดงให้เห็นว่าเป็นคนที่สารมารถติดต่อได้สะดวก และเข้าถึงได้ง่ายกว่าคนที่ไม่มีโทรศัพท์มือถือติดตัว จะเห็นได้ว่ากลไรการดำรงชีวิตของคนที่ใช้โทรศัพท์มือถือ และไม่ใช้โทรศัพท์มือถือนั้นแตกต่างกัน เช่นเดียวกัน กลไรในการดำรงชีวิตของสังคมที่ใช้อินเตอร์เน็ต ก็จะแตกต่างจากสังคมที่ไม่ใช้อินเตอร์เน็ต เป็นต้น

https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjuqkGnKLs7wXklvAA7xfTm8Kjy2qOoG1nG7uCmsnLkoQNjuL1bB_2d_In_e8Mpt2xcHq1LlWdyIGq9i1roCwCmtrVmQ95PQWg94_LIsRYInvz7kUH9L4CtO6HmwAdBBd6pTM95jn7h1xm-/s1600/219655.jpg



4. แนวทางในการป้องกันและแก้ไขปัญหาสังคมที่เกิดจากเทคโนโลยีสารสนเทศ
     ดังที่กล่าวมาบ้างแล้วว่าเราไม่สารมารถถอยห่างจากเทคโนโลยีสารสนเทศได้ ยิ่งนับวันเทคโนโลยี
สานสนเทศ จะเข้ามามีบทบาทในชีวิตมายิ่งขึ้น ทุกวันนี้มนุษย์ได้แปลงปรากฏการณ์ธรรมชาติที่เป็นปัญหาของตน ให้มาอยู่ในรูปแบบที่เป็นปัจจัยนำเข้าของระบบคอมพิวเตอร์แล้วเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งข้อมูลปัจจัยนำเข้าในลักษณะต่าง ๆ เหล่านั้นจะถูกประมวลผลให้เป็นสารสนเทศที่มนุษย์นำไปสร้างเป็นความรู้เพื่อใช้ประโยชน์ต่อไป อย่างไรก็ตามในสังคมทุกสังคมต่างก็มีคนทีและคนชั่วปะปนกัน เมื่อเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร เป็นประโยชน์ได้มากเพียงใด ก็สามารถถูกกำหนดหรือสร้างให้เป็นโทษได้มากเพียงนั้น การป้องกันภัยและการแก้ปัญหาสังคมที่เกิดขึ้นจากเทคโนโลยีสารสนเทศจะเป็นเรื่องที่จะต้องได้รับความร่วมมือจากสมาชิกในสังคมอย่าจริงจัง ในที่นี้จะเสนอแนวทางบางประการที่น่าจะช่วยลดปัญหาสังคมที่เกิดจากเทคโนโลยีสารสนเทศลงได้บ้าง



5.ประเด็นพิจารณาการใช้จริยธรรมเพื่อแก้ปัญหาสังคมที่เกิดจากเทคโนโลยีสารสนเทศ

5.1 ผลกระทบจากเทคโนโลยีสารสนเทศ และทฤษฎีเรื่องจริยธรรม
     ในปัจจุบันยังมีข้อถกเถียงกันเกี่ยวกับผลกระทบที่เกิดจากการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ ในเรื่องที่
เกี่ยวกับ ค่านิยม จุดยืน และสิทธิที่บุคคลพึงมีพึงได้ ตัวอย่างเช่น ข้อถกเถียงที่เกี่ยวข้องกับผลกระทบจากการใช้กล้องวงจรปิด การใช้คุกกี้ในอินเทอร์เน็ต ต่อสิทธิในเรื่องความเป็นส่วนตัวของมนุษย์ หรือข้อถกเถียงในเรื่องผลกระทบจากความแตกต่างในเรื่องชนชั้นทางสังคม ต่อสิทธิในการเข้าถึงข้อมูล เช่น โอกาสในการเข้าถึงอินเทอร์เน็ตของนักเรียนในชนบท หรือในกรณีข้อถกเถียงในเรื่องการใช้ซอฟต์แวร์ละเมิดลิขสิทธิ์ ต่อเรื่องทรัพย์สินทางปัญญา เป็นต้น
5.2 เทคโนโลยีสารสนเทศกับจริยธรรมและการเมือง
      จากมุมมองที่ว่าเทคโนโลยีสารสนเทศและสังคมต่างก็ส่งผลกระทบซึ่งกันและกัน ได้สะท้อนให้เห็น
ถึงความสำคัญของจริยธรรมที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีสารสนเทศ มีผู้วิเคราะห์ว่าเทคโนโลยีสารสนเทศถูกสร้างขึ้นโดยสังคม จึงถูกแฝงประเด็นทางการเมืองและเศรษฐกิจอย่างแยบยล ดังเช่น การสร้างภาพของพระเอกหรือผู้ร้ายในภาพยนตร์ หรือการเกิดของกระแสโอเพนซอร์สเพื่อคานอำนาจกับซอฟต์แวร์ให้สิทธิการใช้ เป็นต้น การสร้างจริยธรรมด้านเทคโนโลยีสารสนเทศในแต่ละสังคมจะต้องให้ความสำคัญในเรื่องเหล่านี้ไว้ด้วย
5.3 เทคโนโลยีสารสนเทศกับจริยธรรมและความเป็นมนุษย์
     นอกจากกรณีของเรื่องทัศนคติ อารมณ์ความรู้สึก ที่มีต่ออุปกรณ์หรือเทคโนโลยีสารสนเทศที่เกี่ยวข้องกับจริยธรรมและการเมืองดังที่กล่าวมาแล้ว ความเกี่ยวข้องกับจริยธรรมและความเป็นมนุษย์ ก็มีส่วนสำคัญอย่างมากโดยเฉพาะในกรณีของการเปลี่ยนแปลงสภาพสังคมในเรื่องของโลกเสมือนจริง (virtuality)



https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhMYvVxGHx9MdVXKawW7oVomZ30nbMJs4m7E-tyTF49pZnKzlQEa3NZttlsfJAA74WqiZNjOMWbIJuAdYXe-2VD5hnLjmQICUzlKGY4Ek1IB415Rj2bnPKfu2ifb9HNuDq9GNB7k2iW1Sk/s1600/judge_jody_watching_a_a_ha.gif



6. การใช้กฎหมายเพื่อแก้ปัญหาสังคมที่เกิดจากเทคโนโลยีสารสนเทศ
     ในการแก้ไขปัญหาสังคมโดยทั่วไปนั้น การเสริมสร้างจริยธรรมในหมู่สมาชิกในสังคมเป็นทางแก้
ปัญหาที่ถูกต้องและยั่งยืนที่สุด แต่ความเป็นจริงนั้นเราไม่สามารถสร้างจริยธรรมให้กับปัจเจกบุคคลโดยทั่วถึงได้ ดังนั้นสังคมจึงได้สร้างกลไกใหม่ขึ้นไว้บังคับใช้ในรูปแบบของวัฒนธรรมประเพณีทีดีงาม อย่างไรก็ตามเมื่อสังคมมีขนาดใหญ่ขึ้น รูปแบบของปัญหาสลับซับซ้อนมากยิ่งขึ้น จึงมีความจำเป็นจะต้องตราเป็นกฎ ระเบียบหรือข้อบังคับ ในลักษณะต่างๆ รวมถึงกฎหมายด้วย ในกรณีของเทคโนโลยีสารสนเทศนี้ก็เช่นกัน การเกิดขึ้นของอินเทอร์เน็ตทำให้รูปแบบของปัญหาสังคมที่เกิดจากเทคโนโลยีสารสนเทศมีความหลากหลายและยุ่งยากมากขึ้น ด้วยเหตุนี้จึงมีความจำเป็นที่ต้องมีกลไกในรูปของกฎหมายเทคโนโลยีสารสนเทศไว้ใช้บังคับ ในประเทศไทยก็ได้ให้ความสำคัญในเรื่องนี้ โดยได้มีการปฏิรูปกฎหมายเทคโนโลยีสารสนเทศ ให้สอดคล้องกับรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ที่ระบุว่า “รัฐจะต้อง ... พัฒนาเศรษฐกิจท้องถิ่นและระบบสาธารณูปโภคตลอดจนโครงสร้างพื้นฐานสารสนเทศให้ทั่วถึงและเท่าเทียมกันทั่วประเทศ”
https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjvtiIF7rhHuxZ_W7dkBWRD-Abxj5glhB6EnI4gVchC4gnlyRAW3FkrIev7Kdjx8hoc1RhLGuA1GOHziLTC1Gfxoaxo0v-l57-3ELhJKrPshfyatQynNinyOpnQcuezKZCm4Lnwf2hxipSd/s1600/computer-crash.png



7. กรณีศึกษาอาชญากรรมและกฎหมายไอที (http://www.lawyerthai.com/articles/it/006.php)

     กรณีที่ 1 : นายจ้างหรือผู้บังคับบัญชา เปิด e-mail ลูกจ้างหรือผู้ใต้บังคับบัญชาอ่านได้หรือ
ไม่?

     ในการใช้งาน e-mail ภายในองค์กรนั้น จะมีคำถามว่า ถ้าองค์กรนั้น ๆ มีการกำหนด User name
และ Password ให้กับคนในองค์กร แล้วถ้านายจ้างหรือผู้บังคับบัญชารู้ User name และ Password ของ
คนในองค์กรแล้ว นายจ้างหรือผู้บังคับบัญชามีสามารถเปิดอ่าน e-mail ของลูกจ้างได้หรือไม่ ถ้าในประเทศสหรัฐอเมริกา มีกฎหมายกำหนดไว้อย่างชัดเจนว่า นายจ้างหรือผู้บังคับบัญชาขององค์กรนั้นๆ สามารถเปิดดูและตรวจสอบ e-mail ของลูกจ้างได้รวมทั้งสามารถดูแฟ้มข้อมูลต่างๆ ในฮาร์ดดิสก์คอมพิวเตอร์ของบริษัทได้ หากเป็น e-mail ที่เป็นขององค์กร เพราะเป็น e-mail สำหรับการปฏิบัติงาน แต่หากเป็น e-mail อื่นที่ไม่ใช่ขององค์กร นายจ้างหรือผู้บังคับบัญชาไม่ได้รับอนุญาตให้เปิดอ่าน หากนายจ้างหรือผู้บังคับบัญชาละเมิดสิทธิ์ ลูกจ้างสมารถฟ้องร้องนายจ้างหรือผู้บังคับบัญชาให้ชดใช้ค่าเสียหายทางแพ่งได้
     กรณีที่ 2 : การ Copy รูปภาพ/ข้อความบนเว็บไซต์ของผู้อื่นมาใช้ เป็นการละเมิดลิขสิทธิ์
ทุกกรณีหรือเปล่า?
     หากต้องทำการ copy รูปภาพหรือข้อความบนเว็บไซต์ของผู้อื่นมาใช้งาน จำเป็นต้องขออนุญาต
เจ้าของเสียก่อน เพราะหากนำมาใช้โดยไม่ได้รับอนุญาตจะถือว่าละเมิดลิขสิทธิ์ผิดกฎหมาย หากนำไปใช้เพื่อการค้าอาจถูกฟ้องเป็นคดีแพ่งหรือคดีอาญาได้ อย่างไรก็ตามก็มีข้อยกเว้นสำหรับกรณีเพื่อการศึกษา โดยต้องมีการอ้างอิงและขออนุญาตเจ้าของลิขสิทธิ์








https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEi6Nkt6DUdXuKNkwTiiWj9a7uK4x5MDVhqmNVxISH9OIdVt4VhEI6Ur4xv7jKwGxBDJxxHYRZCAiv0g02m9Al8_fAKEFN2hiAPIiPGquzKvdHVutyRp4iKe3N1PzBx6R0TnujKD_KB_6-s/s1600/TeamMaker.png

วันอาทิตย์ที่ 12 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

บทที่ 7 ความปลอดภัยของสารสนเทศ


บทที่ 7
ความปลอดภัยของสารสนเทศ
 

http://pirun.kps.ku.ac.th/~b5127039/com12.jpg

1.ความปลอดภัยในด้านปกป้องข้อมูลเมื่อใช้อินเทอร์เน็ต
         - Denail of service คือ การโจมตี เครื่อง หรือ เครือข่ายเพื่อให้เครื่องมีภาระงานหนักจนไม่สามารถให้บริการได้ หรือทำงานช้าลง
         - Scan คือ การเข้าสู่ระบบโยใช้เครื่องมืออัตโนมัติหรือเป็นโปรแกรมที่เขียนขึ้นเพื่อ Scan สู่ระบบหรือหาช่องทางการติดตั้งหรือการกำหนดระบบผิดพลาด
         - Malicous Code คือ การหลอกส่งโปรแกรมให้จริงๆ แล้วอาจเป็นไวรัส เวิร์ม ประม้าโทรจันและถ้าเรียกโปรแกรมนั้น โปรแกรมที่แอบซ่อนก็จะทำงานตามกำหนด

https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhxnoMIrRObDqIIaySeDA5goq46k_HhYQ-e0XFGYy4U7tSGPUp3c8PRcj-ya3a6rmbJw1f3Ax5MUugtYNQkOJ7L3TcrMaViKAniagcM8It384XzrXGgYaKQOzUyWKYnzc24cPX-7Ury6VU/s1600/211906.jpg

2.ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับไวรัสคอมพิวเตอร์ ( Computer Viruses )
   ไวรัสคอมพิวเตอรมีหลายสายพันธุ์ แต่ละชนิดต่างก็มีคุณลักษณะที่แตกต่างกัน เช่น
         -ไวรัสบางสายพันธุ์จะทำการนำขยะหรือข้อมูลอื่นๆ ไปซ้อนทับข้อมูลเดิมบางส่วนที่ถูกต้องอยู่แล้ว ทำให้แฟ้มข้อมูลเดิมผิดเพี้ยนไปจากเดิม
         -ไวรัสบางชนิดทำการควบคุมการทำงานของระบบปฏิบัติการคอมพิวเตอร์แทนระบบเดิมซึ่งก่อให้เกิดความเสียหายต่อระบบคอมพิวเตอร์


http://www.antivirus-thailand.com/pic-news/19082012213004.jpg

เราสามารถแบ่งไวรัสคอมพิวเตอร์ออกเป็นสองชนิดใหญ่ๆ ได้แก่ Application Viruses และ System Viruses
1.             Application Viruses จะมีผลหรือมีการเผยแพร่กระจายไปยังโปรแกรมประยุกต์ต่างๆ
2.             System Viruses ไวรัสชนิดนี้จะติดหรือเผยแพร่กระจายในโปรแกรมจำพวกระบบปฏิบัติการ ( Operating System ) จะแพร่เชื้อในขณะที่เปิดเครื่องคอมพิวเตอร์
2.1      เวอร์ม (Worm) หมายถึงโปรแกรมซึ่งเป็นอิสระจากโปรแกรมอื่นๆ โดยจะแพร่กระจายจากเครือข่ายไปยังคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ที่อยู่บนเครือข่าย
2.2      โลจิกบอมบ์ (Logic bombs) หรือ ม้าโทรจัน(Trojan Horses) หมายถึงโปรแกรมซึ่งถูกออกแบบมาให้มีการทำงานในลักษณะถูกตั้งเวลาเหมือน ระเบิดเวลา และถูกนำมาประยุกต์ ให้แฝงตัวเข้าไปในระบบ และจะทำงานโดยดักจับเอารหัสผ่านเข้าสู่ระบบต่างๆและส่งไปยังเจ้าของหรือผู้ ส่ง
2.3      ข่าวไวรัสหลอกลวง (Hoax)  เป็นไวรัสประเภทหนึ่งซึ่งมาในรูปแบบการสื่อสารที่ต้องการทำให้ผู้ใช้คอมพิวเตอร์เข้าใจผิด
2.4       แนวทางหรือมาตรการในการป้องกัน (Security Measures)

     1) การกำหนดแนวปฏิบัติ (Procedures) และนโยบายทั่วๆ ไปในองค์กร อาทิเช่น
-          เปลี่ยนรหัสผ่านอย่างน้อยปีละครั้ง
-          กำหนดสิทธิให้ผู้ใช้ระบบเข้าใช้ในส่วนที่จำเป็นเท่านั้น
-          มีการเข้ารหัสข้อมูลในระบบคอมพิวเตอร์
-          มีระเบียบปฏิบัติในการควบคุมชัดแจ้ง
-          ให้ความรู้อย่างสม่ำเสมอในเรื่องการรักษาความปลอดภัย
-          ดูแลและตรวจตราแฟ้มข้อมูลอย่างสม่ำเสมอ 
 2) การป้องกันโดยซอฟแวร์ (Virus protection solfware) 
 -          ลายมือชื่ออิเล็กทรอนิก 
                -          การเข้าละถอดรหัส
 
http://downloadna.sai-nam.com/images/stories/pro_pic/antivirus/AVG/AVG-Antivirus-2011-Free-Edition-1.jpg

3.             ฟิชชิ่ง (Phishing) คือ การหลอกลวงอีกอย่างหนึ่งทางอินเตอร์เน็ตใช้วิธีการปลอมแปลงอีเมล์ติดต่อไป ยังผู้ใช้อินเตอร์เน็ตโดยหลอกให้ผู้ใช้เข้าใจผิดว่าเป็นอีเมล์จากองค์กร หรือ บริษัท
4.             ไฟร์วอลล์ (Firewall) คือ มาตราการหนึ่งที่ใช้ต่อสู้กับไวรัส,มีความสำคัญต่อการดำเนินชีวิตของผู้คนในสังคมยุคโลกาภิวัฒน์เป็นอย่างมาก
5.             พร็อกซีเซิร์ฟเวอร์ (Proxy) คือเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ทำหน้าที่เป็นตัวกลางระหว่างเว็บเบราว์เซอร์ (เช่น Internet Explorer) และ อินเทอร์เน็ต พร็อกซีเซิร์ฟเวอร์จะช่วยปรับปรุงประสิทธิภาพการทำงานของเว็บ โดยการเก็บสำเนาของเว็บเพจที่ใช้บ่อยไว้ เมื่อเบราว์เซอร์ร้องขอเว็บเพจที่เก็บอยู่ในคอลเล็กชันของพร็อกซี เซิร์ฟเวอร์ (แคชของพร็อกซีเซิร์ฟเวอร์) พร็อกซีเซิร์ฟเวอร์จะจัดเตรียมเว็บเพจนั้นให้ ซึ่งเร็วกว่าการไปที่เว็บ นอกจากนี้ พร็อกซีเซิร์ฟเวอร์ยังสามารถช่วยปรับปรุงความปลอดภัย โดยการกรองเนื้อหาเว็บและซอฟต์แวร์ที่เป็นอันตรายออก
6.             คุ๊กกี้ (Cookies) คือแฟ้มข้อมูลชนิด Text ที่ เว็ปเซิร์ฟเวอร์ทำการจัดเก็บไว้ที่ฮาร์ดดิสของผู้ที่ไปเรียกใช้งานกับ เซิร์ฟเวอร์นั้น ซึ่งข้อมูลที่อยู่ในไฟล์คุกกี้ นี้จะเป็นข้อมูลที่เรานำไปป้อนข้อมูล
7.              มาตรการควบคุมการใช้อินเตอร์น็ตจากภัยคุกคามด้านจริยธรรม
ผู้ ใดประสงค์แจกจ่ายแสดง อวดทำ ผลิต แก่ประชาชนหรือเผยแพร่ซึ่งเอกสาร ภาพระบายสี สิ่งพิมพ์แถบบันทึกเสียง บันทึกภาพหรือเกี่ยวเนื่องกับสิ่งพิมพ์ดังกล่าว มีโทษจำคุก ปรับ หรือทั้งจำทั้งปรับ


https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiyZVRy5X3GZ5q9L-kPKQHjxQ_s44lqGaI2Rw0gRMtHiiJ8qY4TuRq8mEdhcIdVglnSbI0dp2ldap9RT3mAYoXVGf06dluJ4BvwyKRZt72odJbiMyBDyGbjyZ2LHWnaV9eBrMr4EkEnung/s1600/computer+lock_001.jpg

วันพฤหัสบดีที่ 9 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

บทที่ 6 การประยุกต์ใช้สารสนเทศในชีวิตประจำวัน


บทที่ 6 การประยุกต์ใช้สารสนเทศในชีวิตประจำวัน


การประยุกต์ใช้สารสนเทศในชีวิตประจำวัน


http://www.chicclick.th.com/wp-content/uploads/gallery_33-290x290.jpg

1.แนว โน้มในอนาคตภายในครอบครัวจะมีการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศในชีวิตประจำวันกันมาก ขึ้น  เช่น โทรศัพท์ วิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์ วีดิเท็กซ์ ไมโครคอมพิวเตอร์ ฯลฯ เทคโนโลยีสารสนเทศจึงมีความสำคัญมากในปัจจุบันและมีแนวโน้มมากยิ่งขึ้นในอนาคต เพราะเป็นเครื่องมือในการดำเนินงานสารสนเทศให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพนับตั้งแต่การผลิตการจัดเก็บการประมวลผลการเรียกใช้2.ขอบข่ายของระบบเทคโนโลยีสารสนเทศขอบเขตของเทคโนโลยีสารสนเทศนั้นจะเกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีผลิตภัณฑ์และกระบวนการหลายด้าน เช่นการสื่อสารระบบดาวเทียมเทคโนโลยีการจัดการฐานข้อมูลการจัดพิมพ์ระบบอิเล็กทรอนิกส์การประมวลตัวเลขการประมวลภาพ   คอมพิวเตอร์สำหรับช่วยออกแบบและช่วยการผลิต(CAD/CAM)เป็นต้น  ระบบเทคโนโลยีสารสนเทศจะประกอบด้วย    

2.1  ระบบประมวลผลรายการ  (Transaction  Processing  System)  เป็นระบบที่ทำหน้าที่ในการปฏิบัติงานประจำและทำการบันทึกจัดเก็บประมวลผลที่เกิดขึ้นในแต่ละวัน เช่น การจองบัตรโดยสารเครื่องบิน   การฝาก-ถอนอัตโนมัติเป็นต้น



http://www.thaibusinesspr.com/wp-content/uploads/2009/06/kbank-orft.jpg

   2.2   ระบบสารสนเทศเพื่อการจัดการ  (Management  Information  Systems)  เป็นระบบสารสนเทศสำหรับผู้บริหารระดับกลางเพื่อใช้ในการวางแผน   บริหารจัดการและควบคุมงานโดยทั่วไประบบนี้จะเชื่อมโยงข้อมูลที่อยู่ในระบบประมวลผลเข้าด้วยกัน   

   2.3  ระบบสนับสนุนการตัดสินใจ (Decision  Support  System)  เป็นระบบที่ช่วยผู้บริหารในการตัดสินใจสำหรับปัญหาที่อาจมีโครงสร้างหรือ ขั้นตอนการหาคำตอบที่แน่นอนตายตัวเพียงบางส่วนหรือเป็นกรณีเฉพาะ   นอกจากนี้ระบบนี้ยังเสนอทางเลือกต่างๆให้ผู้บริหารพิจารณา  เพื่อเลือกทางเลือกที่เหมาะสมที่สุด    

3.หน้าที่ของเทคโนโลยีสารสนเทศเทคโนโลยีสารสนเทศมีหน้าที่ที่จะช่วยให้ผู้ใช้ได้รับ  สารสนเทศตาม ที่ต้องการถ้าปราศจากเทคโนโลยีสารสนเทศแล้วจะเป็นการยากอย่างยิ่งในการสื่อ สารสนเทศทั้งนี้เพราะในภาวะปัจจุบันมีสารนิเทศจำนวนมากมายมหาศาล เพราะการเพิ่มปริมาณของเอกสารอย่างล้นเหลือ(Publication Explosion)  ทำให้เกิดภาวะที่เรียกว่า(INFORMATION  EXPLOSION) ประกอบกับสภาวะเงินเฟ้อ   รวมทั้งความคาดหวังของผู้ใช้สารสนเทศที่ตื่นตัว  และมีความต้องการสารสนเทศทั้งในแง่ของความรวดเร็วและความถูกต้อง


http://theeraporn14.files.wordpress.com/2012/07/phrenology10.jpg?w=256&h=300

4.การจัดการเทคโนโลยีสารสนเทศ การจัดการเทคโนโลยีสารสนเทศมีประเด็นที่จะต้องพิจารณาหลายเรื่องด้วยกันได้แก่    

   4.1  การ ประยุกต์เทคโนโลยีสารสนเทศด้านใดบ้างที่จะเป็นประโยชน์ต่อหน่วยงานจะเห็น แล้วว่าเทคโนโลยีสารสนเทศนั้นสามารถนำไปประยุกต์ได้หลายด้าน   

   4.2  การวางแผนกลยุทธ์ด้านเทคโนโลยีสารสนเทศหน่วยงานขนาดใหญ่ระดับกระทรวงกรมหรือบริษัทขนาดใหญ่จำเป็นจะต้องมีแผนกลยุทธ์ด้านเทคโนโลยีสารสนเทศที่เหมาะสมเพื่อใช้เป็นแผนที่สำหรับนำไปสู่การประยุกต์เทคโนโลยีสารสนเทศอย่างมีประสิทธิภาพ   

   4.3  การกำหนดมาตรฐา เป็นเรื่องจำเป็นอย่างยิ่งในการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศทำงานร่วมกันระหว่างหน่วยงานต่างๆ  

   4.4  การลงทุนด้านเทคโนโลยีสารสนเทศเราควรลงทุนด้านเทคโนโลยีสารสนเทศมากสักเท่าใดนี่เป็นคำถามที่ยังหาคำตอบไม่ได้ชัดเจน  

   4.5  การจัดองค์กรเมื่อมีแผนงานและงบประมาณสำหรับดำเนินการด้านเทคโนโลยีสารสนเทศแล้วต่อไปก็จำเป็นที่จะต้องพยายามสร้างองค์กรเทคโนโลยีสารสนเทศ


http://www.ku.ac.th/e-magazine/oct48/know/mo3.jpg

   4.6 การบริหารงานพัฒนาระบบการพัฒนาระบบนั้นเป็นงานที่ต้องวางแผนอย่างดี  และต้องมีหัวหน้าโครงการที่มีความรู้ทั้งทางด้านเทคนิคและทางด้านการสื่อสารทั้งด้วยวาจาและเป็นเอกสาร  

   4.7 การจัดการผู้ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศคือพยายามทำให้ผู้ใช้มีความรู้สึกที่ดีต่อแผนกเทคโนโลยีสารสนเทศ  

   4.8 การจัดการข้อมูล  ปัญหาคือการแบ่งปันการใช้ข้อมูล  การที่แผนกต่างๆต้องพยายามจัดเก็บข้อมูลมาใช้เอง  ทำให้ต้องทำงานซ้ำซ้อน  และเกิดความสิ้นเปลืองโดยใช้เหตุ  

   4.9 การรักษาความมั่นคงปลอดภัยของระบบการนำเทคโนโลยีสื่อสารโทรคมนาคมมาใช้นั้นเป็นการเปิดโอกาสให้บุคคลภายนอกทำงานร่วมกับเราได้ถ้าหากบุคคลภายนอกเหล่านี้ทำงานตรงไปตรงมาเราคงก็จะไม่มีปัญหาอะไร  

   4.10 ความสัมพันธ์กับผู้บริหารเราต้องพยายามสร้างผลงานที่ผู้บริหารเห็นแล้วประทับใจต้องพยายามชี้ว่าการนำเทคโนโลยีสารสนเทศมาใช้นั้นคุ้มค่าเงินลงทุน

   4.11 การวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีสารสนเทศ   งานวิจัยนี้อาจเป็นเพียงงานขนาดเล็กที่ทำเพื่อให้เข้าผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ  ทางด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ

5การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ            

   5.1  การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศในงานสำนักงานปัจจุบันสำนักงานจำนวนมากได้นำเทคโนโลยีสารสนเทศเข้ามาประยุกต์ใช้อย่างแพร่หลาย  ทั้งนี้เพื่อให้เกิดความสะดวกรวดเร็ว  ความถูกต้องและสามารถจัดพิมพ์ฉบับซ้ำได้เป็นจำนวนมาก  เป็นต้น

https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhMozYtmVTNcdzc3I4N6QLHCtyLlxigHcbKeQb2_vH7bvR-YOKN7MEiMSCZsTr66CAKA222aBKPYlOeqQ6aM_f7oSFKdHEh5S1GqEa263jrhlbJaElwlzTITd2EObFBSeaEmlYLvl5wKLQj/s1600/HP+5100+new.jpg

    5.2  การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศในงานอุตสาหกรรมโรงงานอุตสาหกรรมหลายแห่งนำระบบสารสนเทศเพื่อการจัดการ  (Management Information System : MIS)  เข้ามาช่วยจัดการด้านผลิตการสั่งซื้อการพัสดุ  การเงิน  บุคลากร  และงานด้านอื่นๆในโรงงาน  MIS            

    5.3 การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศในงานการเงินและพาณิชย์  สถาบันการเงิน  เช่น  ธนาคารได้ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศในรูปแบบของ  ATM  เพื่ออำนวยความสะดวกในการฝากถอน  โอนเงิน  ในส่วนของงานประจำธนาคาร             

    5.4 การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศในงานการบริการการสื่อสาร   ได้แก่  การบริการโทรศัพท์   โทรศัพท์เคลื่อนที่  วิทยุ   โทรทัศน์   เคเบิลทีวี            

    5.5 การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศในงานด้านการสาธารณสุข  สามารถนำมาประยุกต์ได้หลายด้าน  ได้แก่ -  ระบบสารสนเทศโรงพยาบาล  (Hospital  Information System : HIS)  เป็นระบบที่ช่วยด้าน Patient  record  หรือเวชระเบียน  ระบบข้อมูลยา  การรักษาพยาบาล  การคิดเงิน            -  ระบบสาธารณสุข  ใช้ในการดูแลป้องกันโรคระบาดในท้องถิ่น            -  ระบบผู้เชี่ยวชาญ (Expert System)  เป็นระบบที่ใช้คอมพิวเตอร์วินิจฉัยโรค  และเริ่มผู้นำมาประยุกต์ใช้ในด้านอื่นๆมากขึ้น  เลยไปถึงเรื่องโรคพืชและสัตว์หลักการที่ใช้  คือ  เก็บข้อมูลต่างๆไว้ให้ละเอียด  แล้วใช้หลักการประดิษฐ์            5.6  การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศกับงานด้านการฝึกอบรมและการศึกษา                          การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศในการศึกษานั้น  มีแนวทางในการใช้มากมายขึ้นตั้งแต่ที่ใช้กันอยู่โดยทั่วไป


http://www.subnoi.com/jjj/DSC_0595.jpg

6.ซอฟแวร์เพื่อสังคม  (Social software)            

   6.1  ความหมายซอฟแวร์เพื่อสังคมคือซอฟต์แวร์ที่ทำให้ผู้คนสามารถนัดพบปะ  เชื่อมสัมพันธ์หรือทำงานร่วมกันโดยมีคอมพิวเตอร์เป็นสื่อกลางเกิดเป็นสังคมหรือชุมชนออนไลน์คำนี้มีความหมายมากกว่าสื่อเก่าๆอย่าง Mailing  List  และ  UseNet  กล่าวคือหมายรวมถึง  E-mail,msn,instant messaging,web,blog และ  WiKi          

   6.2  ชนิดของเครื่องมือที่ใช้ในการติดต่อสื่อสาร

http://internationaltravelchickdotcom.files.wordpress.com/2011/10/mobile-phones1.jpg

      เครื่องมือซอฟแวร์สังคม   สามารถแบ่งออกได้เป็นสองประเภทคือ  เครื่องมือเพื่อการสื่อสารและเครื่องมือเพื่อการจัดการความรู้1) เครื่องมือเพื่อการสื่อสาร   แบ่งออกเป็น   ประเภท  คือ  เครื่องมือที่ใช้ในการสื่อสารสองฝ่ายไม่พร้อมกัน (asynchronous)  คือไม่จำเป็นต้องเผชิญหน้ากัน  และอีกประเภทหนึ่งคือ  เครื่องมือที่ช่วยในการสื่อสารคนสองคนหรือเป็นนกลุ่มแบบสองฝ่ายพร้อมกัน2) เครื่องมือเพื่อการสร้างการจัดการความรู้  เป็นเครื่องมือในกลุ่มที่ใช้เพื่อประโยชน์เพื่อการจัดการความรู้    มีหลายอย่าง  โดยแบบเบื้องต้นเช่น   การสืบค้นข้อมูล

   6.3 ตัวอย่างเครื่องมือทางสังคมต่างๆ


https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjKyNvmW0ugev41U8kwCOLDKfENJjTkMvo4pyYlZXJdkDgKBn0OvKRcV8ds3hk9Wjh5BntJEAkgdAphRMiBeuNipbqNRDan3YkYLXUYq20HyMeT2MZZeR3Y3SyEX_GEfIpxRi4ie_N5c58/s1600/%E0%B8%9A%E0%B8%A5%E0%B9%87%E0%B8%AD%E0%B8%81.jpg

1)BlogBlog  มาจากคำเต็มว่า  WeBlog  บางครั้งอ่านว่า  We  Blog  บางคนอ่านว่า  Web  Log แต่ทั้งสองคำบ่งบอกถึงความหมายเดียวกัน  Blog  คือการบันทึกบทความของตนเอง

2)Internet  Forum  Internet  Forum  เป็นส่วนหนึ่งใน  world  Wide Web ที่มีไว้สำหรับเก็บการอภิปราย  หรือ  ซอฟต์แวร์ที่มีให้บริการด้านนี้   ฟอรั่มในเว็บเริ่มประมาณปี  1995  โดยทำหน้าที่คล้ายกับ  bulletin  board  และ  newsgroup  ที่มีมากมายในยุค 1980s และ  1990s  ความเป็นชุมชนเสมือนของฟอรั่มเกิดจากผู้ใช้ขาประจำประเด็นที่เป็นที่นิยมของฟอรั่มทั่วไปมี  เทคโนโลยี  เกมคอมพิวเตอร์  และการเมือง  เป็นต้น

3)Wiki    Wiki  อ่านออกเสียง  “wicky”,”weekee”  หรือ “veekee”  เป็นเทคโนโลยีที่ทำให้เราสามารถสร้างและแก้ไขหน้าเว็บเพจขึ้นมาใหม่ผ่านทางบราวเซอร์  โดยไม่ต้องสร้างเอกสาร  html  เหมือนแต่ก่อน  แต่  wiki  เน้นการทำระบบสารานุกรม

4)Instant  Messaging     เป็นการอนุญาตให้มีการติดต่อสื่อสารระหว่างบุคคลบนเครือข่ายที่เป็นแบบ  relativeprivacy  ตัวอย่าง  client  ที่เป็นที่นิยมเช่น  Gtalk, Skype, Meetro, ICQ, Yahoo  Messenger , MSN  Messenger  และ  AOL  Instant  Messenger  เป็นต้น

5)Social  network  services จะอนุญาตให้ใครก็ได้แบ่งปันความรู้  สิ่งที่สนใจต่างๆร่วมกัน  เช่น  บางที่สร้างเพื่อเอาไว้นัดเดทกัน  เพราะฉะนั้นผู้ใช้ก็อาจจะโพสข้อมูลส่วนตัว  ที่อยู่  เพศ  เบอร์โทรศัพท์เพื่อให้ผู้อื่นที่สนใจสามารถค้นหาข้อมูลได้โดยสะดวก

6)Sosial  guides  เป็นที่สำหรับการนัดพบกันได้จริงๆบนโลก  เช่น  ร้านกาแฟ  ร้านอาหาร  เป็นต้น

7)Sosial  bookmaking   บางที่อนุญาตให้ผู้ใช้สามารถโพส  list  of  bookmark (favoritewebsites)  ลงไปได้เพื่อแลกเปลี่ยนแหล่งข้อมูลที่ตนเองสนใจ

8)Social  Citations  มีลักษณะคล้าย   Sosial  bookmaking   มาก  แต่จะเน้นไปทางด้านการศึกษาของนิสิตนักศึกษาโดยอนุญาตให้ผู้ใช้แลกเปลี่ยนข้อมูลต่างๆ

9)Social  shopping  Applications  มีประโยชน์ในเรื่องการเปรียบเทียบสินค้า  ดูรายการสินค้า  เป็นต้น10)Internet  Relay Chat  หรือ  IRC จะอนุญาตให้ผู้ใช้สนทนาในห้อง  chat rooms  ซึ่งอาจมีหลายๆคนที่เข้าใช้งานในกลุ่มสนทนาในห้องดังกล่าว  ผู้ใช้สามารถสร้างห้องใหม่หรือเข้าไปในห้องใหม่หรือเข้าไปในห้องที่มีอยู่แล้วก็ได้11)Knowledge Unifying Initiator หรือเรียกย่อๆว่า KUI หรือ คุย” ในภาษาไทย หมายถึง การสนทนา



ซอฟต์แวร์เพื่อสังคม (Social software)  ใช้ประโยชน์ในการประมวลทางสังคม  (Socialcomputing) ในยุคที่ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ICT) เป็นทุนในการพัฒนาสังคม  ในยุคนี้มีความจำเป็นจะต้องสร้างระบบที่ก่อให้เกิดการมีส่วนร่วมจากสมาชิกใน สังคมให้มากที่สุดโดยเฉพาะอย่างยิ่งการเปิดพื้นที่การมีส่วนร่วมใหม่ให้กับ ภาคประชาสังคม

7. การสืบค้นสารสนเทศทางอินเทอร์เน็ต อินเทอร์เน็ตเป็นแหล่งรวบรวมข้อมูลขนาดใหญ่  จนได้รับสมญานามว่า  ห้องสมุดโลก”  ซึ่ง มีข้อมูลหลากหลายประเภทและมีแนมโน้มจะเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว  ดังนั้นในการที่เราจะค้นหา  ข้อมูลที่ต้องการได้อย่างรวดเร็วนั้น  ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ สำหรับผู้ที่ไม่คุ้นเคยกับแหล่งข้อมูลนี้  นั่นคือ  มักประสบปัญหาไม่ทราบว่าข้อมูลที่ต้องการนั้นอยู่ในเว็บไซต์ใด



http://btgsf1.fsanook.com/weblog/entry/185/928653/1.jpg